เที่ยว Hallstatt เอง 2 คืน ลุย Five Fingers กับวิวที่ไม่มีวันลืม
- ระยะเวลา3 วัน
- ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย฿ 18,000/คน
- Share
หลังจากเที่ยวเมืองปราก (Prague) 3 วัน 2 คืน มาอิ่มแล้ว ก็ได้เวลามา เที่ยว Hallstatt หรือ ฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบล้อมด้วยภูเขาที่ใฝ่ฝันว่าในชีวิตนี้ต้องมาสักครั้งให้ได้ และมาทั้งนี้ก็ขอนอนเต็มๆ ซัก 2 คืน จะได้เต็มที่กับบรรยากาศ โดยทริปยุโรปตะวันออกของเรารอบนี้ใช้เวลาทั้งหมด 13 วัน 12 คืน เริ่มตั้งแต่ Vienna > Budapest > Prague > Cesky Krumlov > Hallstatt > Salzburg > Munich ซึ่งบทความนี้คือบทความแรกที่เขียนลง Trip & Drip เลยอยากเริ่มที่ Hallstatt ก่อน ส่วนที่อื่นๆ จะตามมาทีหลังนะ ?
การเดินทางมา Hallstatt ตั้งต้น 9:00 AM ณ เมืองปราก หรือ Prague สาธารณรัฐเช็ก โดยใช้บริการ Private Car ของ mydaytrip.com ซึ่งระหว่างทาง เราได้แพลนให้คนชับรถหยุดเที่ยวที่เมื่อง Cesky Krumlov ประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นก็ออกเดินทางต่อมาที่ Hallstatt ประเทศออสเตรีย ค่าใช้จ่ายของ mydaytrip.com อยู่ที่ 306 ยูโร หรือประมาณ 10,000 บาท ตกคนละ 3,300 กว่าบาท ซึ่งถือว่าสะดวก และประหยัดเวลามากหากต้องการแวะเมืองระหว่างทาง โดยเฉพาะทริปนี้มีพ่อกับแม่มาด้วย ช่วยอำนวยความสะดวกได้เยอะทีเดียว
เรามาถึง Hallstatt กันประมาณ 4 โมงเย็น ซึ่งที่หมู่บ้าน Hallstatt จะไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ เว้นแต่รถของผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้น ดังนั้นถ้าหากจะเรียกรถ Taxi หรือรถบัส ต้องเดินออกมาด้านหน้าก่อน คนขับรถของเราจึงจอดรถทิ้งไว้ และช่วยถือกระเป๋ามาส่งถึงหน้าประตูโรงแรม Hallstatt Hideaway ซึ่งอยู่ห่างจาก Marktplatz หรือ จัตุรัสกลางหมู่บ้าน ประมาณ 200 เมตร
ค่าที่พัก Hallstatt Hideaway ตกคืนละ 17,500 บาท (นอน 3 คน) ซึ่งราคานี้เป็นช่วงเดือนตุลาคม หลายๆ โรงแรมที่อยู่ละแวก Marktplatz เริ่มเต็มกันหมดแล้ว บรรยากาศโรมแรมเหมือนได้ Hideaway สมชื่อเลยจริงๆ โรงแรมจะอยู่บนเนินเขาเล็กน้อย ต้องขึ้นบันไดไปนิดหน่อย มีความเป็นส่วนตัว เงียบ และวิวสวยมาก ในตัวห้องค่อนข้างสะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง
วิวทะเลสาบจากหน้าต่างห้องพัก ช่วงเช้า และเย็นจะสวยมาก ส่วนกลางคืนจะไม่ค่อยมีไฟเปิดเท่าไหร่ เนื่องจากข้างล่างจะเป็นบ้านคน และที่พัก ซึ่งจะไม่มีใครมีปาร์ตี้เสียงดังกัน
มองออกมาทางซ้ายของหน้าต่างก็จะเห็นหลังคาโบสถ์ประจำเมือง (Hallstatt Lutheran Church)
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกคือไปดูโบสถ์ประจำเมือง หรือ Hallstatt Lutheran Church โดยเดินไปที่ถนน Gosaumühlstraße จะมีจุดถ่ายรูปที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปโบสถ์ เหมือนกับว่าถ้าไม่มีรูปมุมนี้ถือว่ามาไม่ถึง Hallstatt ซึ่งช่วงที่เราไปกำลังปิดซ่อมแซมอยู่ (ถอนหายใจ) แต่ถ้ามีเวลาเดินเล่นไปตามมุมต่างๆ จะพบว่ามีอีกหลายมุมที่ถ่ายรูปโบสถ์นี้สวยไม่แพ้กัน
จุดชมวิวตรงถนน Gosaumühlstraße จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ หลายคนที่พักที่นี่ก็จะเอาขาตั้งกล้องมาตั้งถ่ายยาวๆ กันไป เพื่อเก็บภาพให้ครบ ตั้งแต่แสงแดดยามเย็น จนท้องฟ้ามืด
หากเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามตรอกซอกซอย จะได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คน มีบ้านไม้หลังเล็กๆ ริมทะเลสาปที่อยู่ติดกันไปหมด บรรยากาศในช่วงเย็นที่หมู่บ้านจะเงียบมาก เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่มทัวร์จะเริ่มกลับกันหมดแล้ว เหลือแต่คนที่พักที่ Hallstatt และชาวบ้าน ซึ่งบรรยากาศของ "หมู่บ้าน" ก็จะเริ่มชัดเจนมากขึ้น เทียบกับบรรยากาศตอนกลางวันที่จะดูเป็น "สถานที่ท่องเที่ยว" มากกว่าหมู่บ้าน
ระหว่างทางที่เดินเล่นจะมีป้าย "Quiet Please!" และ "No Drone Zone" เป็นระยะ ซึ่งชาวบ้านน่าจะมาติดไว้ เพราะช่วงกลางวันที่นักท่องเที่ยวเยอะจะค่อนข้างพลุกพล่านอยู่พอสมควร โดยจะมีข้อความเขียนว่า "Hallstatt ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ กรุณาแสดงความเคารพต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ระหว่างการเยี่ยมชม ไม่ส่งเสียงดัง ไม่เข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคล และทิ้งขยะให้ลงถัง"
ย้อนกลับมาที่ Marktplatz ช่วงเย็นไฟเริ่มเปิดสวยงาม นักท่องเที่ยวที่มานอนค้างคืนก็เริ่มมานั่งกินอาหารสบายๆ ด้านหลังจะมีซอยเล็กซอยน้อยให้เราเดินเข้าไปได้ ซึ่งก็จะไปทะลุกับซอยต่างๆ เป็นอีกบรรยากาศที่ดีมาก ดูเป็นหมู่บ้านเงียบๆ ไม่วุ่นวาย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะแบตหมดก่อน
ที่นี่มี Hallstatt DAS BIER ซึ่งไม่ค่อยเห็นในประเทศติดๆ กันสักเท่าไหร่ รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว เย็นนี้เลยจัดเบียร์เย็นๆ คนละแก้ว กับพิซซ่า 1 ถาด ที่ Marktplatz กัน
เดินเล่นพักผ่อนมาพอสมควร วันต่อไปเตรียมไปลุย Five Finger กัน ซึ่งจะอยู่ที่ Obertraun นั่งรถไปจาก Hallstatt ประมาณ 10-15 นาที จะขึ้น Taxi หรือรถบัสสาย 543 ก็ได้ ถ้าใครงงว่าจะต้องขึ้นรถสายไหน อะไรราคาเท่าไหร่ จะมี Hallstatt Tourist Office เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ อยู่แถวลานจอดรถสามารถเข้าไปถาม ขอโบรชัวร์ รวมถึงตารางรถบัสได้เลย
เราเริ่มออกจาก Hallstatt กันประมาณ 10 โมงเช้า บรรยากาศช่วงสายๆ ต่างกับช่วงเย็นพอสมควร เนื่องจากนักท่องเที่ยวเริ่มมากันแล้ว แต่แสงแดดช่วงนี้ถ่ายรูปสวยมาก
รถบัสสาย 543 ราคาน่าจะอยู่ที่ 6 ยูโร ถ้าจำไม่ผิด ซึ่งก็ต้องกะเวลารอรถบัสให้ดี แต่พวกเราออกมาสายแล้ว มัวเดินถ่ายรูป และเล่นกับห่านริมทะเลสาบ เลยนั่ง Taxi กัน ราคาประมาณ 20 ยูโร แพงกว่ารถบัสเล็กน้อย แต่ไป 3 คน หารแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่ ซึ่ง Taxi ส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้ หากเจอคนที่กำลังจะไป Obertraun ลองถามดู และให้มาหารกันได้
เมื่อนั่งรถถึง Obertraun แล้ว ทีนี้ก็ต้องเดินทางต่อไป Five Fingers ซึ่งจะเดินขึ้นเขา หรือจะนั่ง Cable Car ก็ได้เช่นกัน โดยเราเลือกที่จะนั่ง Cable Car เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เพราะการไป Five Fingers ควรเตรียมเวลาอย่างน้อยๆ 3 ชั่วโมง เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเดินจากสถานี Cable Car ข้างบนไปยัง Five Figers ประมาณ 30-45 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วในการเดิน และ แนะนำให้เตรียมของกินไปด้วย เพราะข้างบนจะไม่มีอะไรขายเลย มีร้านอาหารร้านเดียวชื่อ Bergrestaurant ซึ่งไม่ได้แวะกิน เลยไม่แน่ใจว่าว่าราคาเป็นยังไงบ้าง แต่ดูแล้วน่าจะแพงอยู่
เมื่อถึงสถานี Cable Car แล้ว ห้องข้างหน้าซ้ายมือคือที่ซื้อตั๋วสำหรับ Cable Car จากนั้นเข้าไปในอาคารหลักเพื่อขึ้น Cable Car ซึ่งในนี้จะมีพอขนม และน้ำขาย มีตู้กด Popcorn ด้วย
ตั๋ว Cable Car จะมีหลายแพ็กเกจ ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เราอยากจะไปเที่ยว เนื่องจากข้างบนมีที่น่าเที่ยวเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำน้ำแข็ง ถ้ำแมมมอส แต่ใครไปช่วงบ่ายๆ ต้องลองเช็คเรื่องเวลาอีกที บางจุดเค้าจะไม่ให้เข้าหลังเวลาที่กำหนด เพราะบางสถานที่เมื่อขึ้นไปแล้ว ต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการเดินไป และกลับ สำหรับทริปนี้ เป้าหมายของเราคือ Five Fingers เราเลยเลือก Panorama Ticket
เริ่มเดินทางขึ้นข้างบนด้วย Cable Car บรรยากาศระหว่างอยู่บน Cable Car ก็จะเป็นวิวภูเขาซะส่วนใหญ่
เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนแล้วจะมีทางให้เดินไปตามที่ต่างๆ ที่เราอยากจะไป ซึ่งก็อยากจะแวะไปที่ไหนก็ได้ บริหารเวลาได้ตามต้องการ
ในช่วงที่เราไปอากาศดีมาก ท้องฟ้าโปร่ง แดดออก อากาศเย็น และมีหิมะอยู่บ้างตามริมทาง ระหว่างทางมองไปมุมไหนก็สวยไปหมดจริงๆ
ในที่สุดก็เดินถึง Five Fingers จุดชมวิวที่ยื่นออกไป โดยจะมี 5 แฉกเหมือนนิ้วมือ และมีกล้องให้ส่องดูวิวด้านล่าง ซึ่งตรงจุดนี้เราจะยืนอยู่สูงกว่าเทือกเขาอื่นๆ ทำให้มองเห็นวิวได้แบบ Panorama จริงๆ หากมองลงไปด้านล่าง ก็จะเห็นหมู่บ้านเล็กๆ ทั้ง Hallstatt และหมู่บ้านอื่นๆ ที่อยู่รอบทะเลสาบ
เมื่ออิ่มกับวิว ทีนี้ก็ถึงเวลาเดินกลับมายังสถานี Cable Car เพื่อลงมาด้านล่าง และหารถกลับไปยัง Hallstatt ซึ่งจะขึ้น Taxi หรือรถบัสสาย 543 ก็ได้เช่นกัน
จาก Hallstatt ไป Salzburg เราเลือกเดินทางโดย Private Car จาก mydaytrip.com เช่นเดิม เนื่องจากทริปนี้มีพ่อแม่มาด้วย ถ้าต้องลากกระเป๋าขึ้นๆ ลงๆ รถไฟคงจะไม่สะดวก และเรายังมีเวลาค่อนข้างจำกัดอีกด้วย
ปลายทางของวันนี้คือเมือง Munich ประเทศเยอรมนี โดยจะหยุดแวะเที่ยวที่ Salzburg เป็นเวลา 5 ชั่วโมง ระหว่างทางก็นั่งดูวิวบ้านริมทาง ทะเลสาบ ภูเขา ไปเพลินๆ เผลอแปปเดียวก็ถึงแล้ว 5 ชั่วโมงที่ Salzburg จะเที่ยวได้แค่ไหน รอติดตามตอนต่อไปได้เลย
ดีใจด้วย คุณคือคนแรก!
คอมเมนต์